ประวัติโดยละเอียด

ส่งเคราะห์-ส่งนาม พิธีกรรมปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย
(ผู้เขียน พนมกร นันติ)



            การส่ง หรือพิธีกรรมในการสังเวยตามแบบล้านนา เมื่อมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น เช่น ความเจ็บป่วยที่รักษาไม่หาย ประสบเหตุ เช่นไฟไหม้บ้าน หรือมีเคราะห์ร้ายต่างๆ บ่อยครั้ง ซึ่งเชื่อกันว่าอาจมีสาเหตุเนื่องจากถูกผีหรืออำนาจอื่นกระทำ การแก้ไขอย่างหนึ่งคือ การส่งหรือการสังเวยแก่เทพหรือผีนั้นๆ โดยตรงเพื่อจะได้พ้นจากสภาพที่เลวร้ายนั้นได้ ซึ่งพิธีส่งมีหลายชนิด เช่น ส่งขึด ส่งกิ่ว ส่งผีส่งเทวดา ส่งเคราะห์ ส่งแถน ส่งหาบ และส่งคอน การส่งเคราะห์บุคคลที่ถูกใส่ความ ประสบอุบัติเหตุ เป็นไข้ ค้าขายขาดทุน ทำงานมักผิดพลาดหรือเกิดความเสียหายบ่อย เป็นต้น ถือว่าบุคคลผู้นั้นมีเคราะห์มากระทบ การส่งเคราะห์จะทำให้เคราะห์ทั้งหลาย ตกไปได้ ซึ่งในพิธีกรรมการส่งจะมีเครื่องประกอบพิธีกรรมและคำสังเวยแตกต่างกันไปแล้วแต่ชนิดของการส่ง
             เครื่องบัตรพลี หรือเครื่องเซ่นในการส่งเคราะห์ประกอบด้วย
             ๑. เครื่องแสดงความยกย่อง ประกอบด้วย ข้าวตอกดอกไม้ ธูป เทียน 
             ๒. เครื่องประกอบยศ ซึ่งมี ช่อ (ธงสามเหลี่ยมขนาดเล็ก) และ ตุง (ธงตะขาบ) ทั้งนี้อาจมีฉัตรทำด้วยกระดาษเล็กๆ ด้วยก็ได้ เทียนค่าฅิง (เทียนสูงเท่ากับความสูงของเจ้าชาตา) สีสายหรือสายน้ำมันค่าฅิง (ไส้เทียนยาวเท่าตัวเจ้าชะตา) ผ้าขาว ผ้าแดง ห่อเงิน ห่อคำ(ทอง) เป็นต้น 
             ๓. อาหารและเครื่องขบเคี้ยว ประกอบด้วย แกงส้ม แกงหวาน ข้าว ขนม มะพร้าว กล้วย อ้อย หมาก พลู บุหรี่ 
             ๔. เครื่องสังเวยตามวัตถุประสงค์ เช่น ดินหรือแป้งที่ปั้นเป็นรูปสัตว์ต่างๆ 
             ๕. เครื่องทานประกอบเช่น สัตว์สำหรับปล่อยเพื่อสะเดาะเคราะห์ หน่อกล้วย หน่ออ้อย ไม้ค้ำต้นโพธิ์ เป็นต้น 
              ๖. การจัดชุดของเครื่องสังเวย ตลอดถึงการจัดวางเครื่องบูชาเมื่อเสร็จพิธี 
              ๗. คำโอกาสหรือคำกล่าวในการสังเวย เป็นการแสดงเจตนารมณ์ในการสังเวยนั้นๆ 
              ๘. สะตวง หรือกระทงสำหรับใส่เครื่องบัตรพลีหรือเครื่องเซ่น
              ในการทำสะตวงสำหรับพิธีส่งเคราะห์นั้นมีวิธีการทำคล้ายกับสะตวงที่ใช้ในพิธีขึ้นท้าวทั้งสี่ ต่างกันที่ขนาดของสะตวงส่งเคราะห์จะมีขนาดใหญ่กว่า และบางครั้งอาจจะเป็นสะตวงแบบเก้าห้อง และที่ต่างกันอีกประการหนึ่งคือที่ก้นสะตวง ก่อนที่จะใส่เครื่องบัตรพลีลงไปนั้น สะตวงที่ใช้ในพิธีขึ้นท้าวทั้งสี่มักใช้กระดาษหรือใบตองรองพื้น สำหรับสะตวงส่งเคราะห์จะใช้ใบโจค หรือใบโชค ใบค้ำ ใบขนุน และใบมะยมในการรองพื้น ทั้งนี้มีความเชื่อว่าใบไม้ทั้งสามชนิดนี้เป็นมงคล ช่วยในการค้ำจุนหนุนนำ เป็นที่นิยมชมชอบและรักใคร่ของผู้คน และทำให้มีความโชคดีด้วย 
              ๙. เครื่องคำนับครูของอาจารย์ผู้ประกอบพิธีซึ่งมักจะประกอบด้วยดอกไม้ธูปเทียน หมากพลู เมี่ยง บุหรี่ และเงินตามอัตรา ทั้งนี้การจัดอุปกรณ์ในพิธีอาจจัดวางบนจานสังกะสี ใส่พาน ใส่ฅวัก คือ กระทง ใส่สะตวง คือ กระบะบัตรพลีทำด้วยกาบกล้วยหรือวางบนตะแกรงไม้ไผ่สานก็ได้

             นอกจากที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในพิธีการส่งเคราะห์ของชาวล้านนาในจังหวัดแพร่ มีการจัดทำเครื่องเซ่นไหว้หรือเครื่องบัตรพลี โดยนางจุฑามาศ ศรีวิลัย ได้อธิบายไว้ว่าเครื่องเช่นไหว้ ประกอบด้วย แกงส้มแกงหวาน ข้าวเปลือก ข้าวสาร มะพร้าว กล้วยลูกตาล ถ้าไม่มีให้ใช้น้ำตาลแทน อ้อย หมาก พลู เมี่ยง บุหรี่ ข้าวต้ม ขนม ดอกไม้ เทียน อาหารบางที่อาจเป็นเนื้อดิบ ปลาแห้ง รูปปั้นคน สัตว์ ผู้ประกอบพิธีกรรมเป็นผู้กำหนดว่าจะให้ปั้นเป็นรูปสัตว์อะไรบ้าง โดยเอาวัน เดือน ปีเกิดของผู้เข้าร่วมประกอบพิธีกรรมไปให้อาจารย์วัดดูว่าจะใช้เครื่องเซ่นไหว้อะไรบ้าง ในตำราที่กลุ่มของผู้ศึกษาไปสัมภาษณ์มาใช้ตำราจากปั๊บสา ดังนี้ การนับหากเป็นชาย จะนับตามจำนวนอายุเวียนไปทางขวามือ โดยเริ่มนับตั้งแต่เสือ, นาค, หนู, ช้างไปเรื่อยๆ ถ้าตกที่ช่องใดแสดงว่าเปิ้งตัวนั้น หากเป็นหญิง จะนับตามอายุเช่นเดียวกัน แต่จะเริ่มจากวัว ไปหาฮุ้ง(เหยี่ยว), แมว, ราชสีห์ และจำนวนของเซ่นไหว้ก็เป็นไปตามตัวเปิ้ง ดังนี้
- เปิ้งเสือ เครื่อง ๑๐
- เปิ้งนาก เครื่อง ๘
- เปิ้งงัว(วัว) เครื่อง ๘
- เปิ้งหนู เครื่อง ๑๒
- เปิ้งฮุ้ง เครื่อง ๑๕
- เปิ้งแมว เครื่อง ๘
- เปิ้งราชสีห์ เครื่อง ๑๗
ดังนั้น ของเซ่นไหว้แต่ละคนจะไม่เท่ากันซึ่งขึ้นอยู่กับแต่อายุ และเพศ สิ่งของที่จัดเตรียมไว้เพื่อเซ่นไหว้ แบ่งออกได้ดังนี้
             แกงส้มแกงหวาน มายถึงผักต่างๆ ที่มีรสหวานและรสเปรี้ยวมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
หมากพลู บุหรี่ หมายถึง สิ่งประกอบที่ใช้สำหรับกินหมาก และสูบบุหรี่ถือเป็นเครื่องแสดงความให้เกียรติภูตผี เทวดา และเป็นสิ่งที่ใช้ต้อนรับแขกในสมัยก่อน
อ้อย กล้วย โดยมาตัดเป็นท่อนๆ ยาวประมาณ ๓-๔ นิ้ว แล้วหั่นเป็นแท่งให้เท่าๆ กันตามจำนวน
อาหารคาว หมายถึงข้าว คือข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้ว และกับข้าวที่มีถ้าไม่มีอาจเป็นเนื้อทอดหรือปลาปิ้ง หรืออาจเป็นปลาร้า เนื้อดิบ ก็ได้
             ธง หรือเรียกอีกอย่างว่า จ้อ เป็นธงสามเหลี่ยมขนาดเล็ก เสาธงใช้ไม่ไผ่เหลากลมแหลม ผืนธงจะใช้ผ้าหรือกระดาษก็ได้ ถือเป็นสัญลักษณ์ในการอันเชิญเทวดาให้มารับรู้ในการประกอบพิธีกรรม จ้อของแต่ละคนที่เข้าร่วมพิธีกรรมจะมีสีแตกต่างกันออกไป และแต่ละสะตวงจะมีร่มกระดาษ จำนวน ๑ คัน ซึ่งจ้อตามตัวเปิ้งมีดังนี้
เปิ้งเสือ จ้อดำ
เปิ้งนาก จ้อขาวลาย
เปิ้งงัว(วัว) จ้อแดง
เปิ้งหนู จ้อขาวดำ
เปิ้งฮุ้ง จ้อขาวเหลือง
เปิ้งแมว จ้อแดง
เปิ้งราชสีห์ จ้อขาวลาย
             พริกแห้ง เกลือ หอม กระเทียม เกลือที่ใส่จะต้องเป็นเกลือเม็ดใหญ่เท่านั้น เพื่อส่งให้เป็นเสบียงกรังให้แก่เทวดา
             รูปปั้นเป็นรูปสัตว์ หรือคนในสมัยก่อนจะใช้ดินเหนียวปั้นแต่ในปัจจุบันใช้ดินน้ำมันแทนดินเหนียว เพื่อส่งไปเป็นทาสรับใช้เทวดา และแต่ละคนจะใช้รูปปั้นแตกต่างกันดังนี้
- เปิ้งเสือ ปั้นรูปคน
- เปิ้งนาก ปั้นรูปเทวดา
- เปิ้งงัว(วัว) ปั้นรูปคน
- เปิ้งหนู ปั้นรูปเทวดา
- เปิ้งฮุ้ง ปั้นรูปคน
- เปิ้งแมว ปั้นรูปคน
- เปิ้งราชสีห์ ปั้นรูปคน
- เปิ้งช้าง ปั้นรูป เทวดา
             การทำพิธีส่งเคราะห์นั้น เริ่มจากการจัดเตรียมสะตวงเครื่องเซ่น หรือเครื่องบัตรพลีตามการส่งแต่ละอย่าง ส่วนมากพ่อหนาน หรืออาจารย์ซึ่งผ่านการบวชเป็นพระมาแล้ว ซึ่งเป็นผู้มีวิชาความรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมหรือผู้ซึ่งมีวิทยาคม เป็นผู้จัดเตรียม บางหมู่บ้านจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ช่วยกันเตรียม ผู้ชายจะเป็นคนจัดทำสะตวงหรือกระทงกาบกล้วย การปั้นรูปสัตว์ต่างๆ ส่วนผู้หญิงจะเตรียมข้าวของ แกงส้ม แกงหวาน อาหารต่างๆ ใส่ลงไปในสะตวง การเตรียมการเหล่านี้มักทำกันล่วงหน้าก่อนหนึ่งวัน เมื่อถึงการประกอบพิธีการส่งเคราะห์ พ่อหนานผู้ประกอบพิธีจะเริ่มจากการบูชาขั้นตั้ง หรือขึ้นขันตั้ง เพื่อรำลึกถึงพระคุณครูบาอาจารย์ก่อน จากนั้นเจ้าชะตา คนป่วยหรือกลุ่มคนที่จะทำการส่งเคราะห์มานั่งด้านหน้า จากนั้นอาจารย์ผู้ประกอบพิธีจะอ่านโองการส่งเคราะห์ ตามแบบโบราณซึ่งเขียนเอาไว้ในปั๊บสา หรือคัมภีร์ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากครูอาจารย์ การส่งเคราะห์นั้นมีทั้งส่งเคราะห์เดี่ยว ซึ่งส่วนมากจะเป็นการส่งเคราะห์ให้เจ้าชะตาที่เจ็บป่วย หรือได้รับอุบัติเหตุเพียงคนเดียว ส่วนการส่งเคราะห์อีกแบบหนึ่งเป็นการส่งเคราะห์แบบหมู่คณะ เช่นการส่งเคราะห์บ้านเป็นต้น เมื่ออ่านโองการเสร็จแล้วจะผูกข้อไม้ข้อมือเพื่อเรียกขวัญกำลังใจ และประพรมน้ำขมิ้นส้มป่อย เมื่อทำพิธีเสร็จแล้วก็จะนำไปวางตามทางแยกหรือทางสามแพ่ง ซึ่งเชื่อว่าเป็นสถานที่ที่มีผีมาชุมนุมกัน
             การส่งเคราะห์แบบล้านนามีการส่งหลายประเภทด้วยกัน ซึ่งแต่ละประเภทนั้นก็มีความหมายของการส่งที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
              ส่งไฟไหม้ หรือ ปูจาส่งไฟไหม้ เป็นพิธีกรรมที่ชาวล้านนาจะทำขึ้น เพื่อส่งเคราะห์เมื่อเกิดไฟไหม้วัด บ้าน ยุ้งข้าว หรือกองข้าวในนา เป็นต้น เมื่อจัดพิธีนี้แล้วจึงจะสามารถปลูกสร้างอาคารในบริเวณไฟไหม้นั้นใหม่ได้
              ส่งแม่เกิด หรือบางแห่งเรียกว่า ส่งเกิด นี้เป็นพิธีกรรมที่จัดขึ้นเพื่อสังเวยแก่แม่ซื้อ เมื่อเห็นว่าทารกหรือเด็กป่วยไข้กระเสาะกระแสะร้องไห้กวนโยเยบ่อย เชื่อกันว่าแม่เกิด หรือแม่ซื้อซึ่งเป็นวิญญาณนั้นจะมารับเอาเด็กไปอยู่ด้วย ดังนั้นการทำพิธีส่งแม่เกิดหรือสังเวยแก่แม่ซื้อนี้จึงเป็นการกระทำเพื่อให้แม่ซื้อพอใจและยุติการกระทำที่จะนำตัวเด็กไปอยู่ด้วยเสีย 
              ส่งวานเกิด หรือ ส่งพ่อเกิดแม่เกิด เป็นพิธีที่ทำขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กหรือทารกป่วยกระเสาะกระแสะ มีแนวโน้มว่า วานหรือญาติในปรภพจะมารับตัวเด็กนั้นให้กลับคืนไปอยู่ในสภาพวิญญาณเหมือนเดิม พิธีส่งวานเกิด นี้เป็นพิธีที่ทำต่อจากการส่งเกิดหรือส่งแม่เกิด กล่าวคือ จะมีการส่งแม่เกิดคือส่งแม่ซื้อในวันแรก และวันต่อมาจะมีการส่งวานเกิดวานเกิด ในที่นี้มีความหมายว่าญาติที่เกี่ยวข้องกับการเกิดของทารกดังจะเห็นได้จาก คำโอกาส หรือโองการสังเวยในพิธีนี้ ซึ่งผู้ที่เชิญมารับเครื่องสังเวยนั้นได้ถูกระบุว่าเป็น “เสี่ยว” “ยี่เสี่ยว”และ “เสี่ยวสหายทั้งสอง”ซึ่งแปลว่าผู้มารับเครื่องสังเวยนั้นเป็นเกลอกับบิดามารดาของเด็ก และในบางตอนก็เรียกเป็น “พ่อเกิดแม่เกิด” และ “พ่อยี่แม่ยี่” ด้วยเช่นกัน ดังนั้น เมื่อทารกนั้นเติบโตขึ้นก็เกรงว่าบิดามารดาซึ่งอยู่ในสภาพของวิญญาณจะมารับตัวเด็กทารกนั้นไปจึงต้องมีเครื่องสังเวยต่างๆ เพื่อเอาใจ พร้อมกับอ้างว่าเด็กนั้นได้ระคนกับสิ่งที่น่าขยะแขยงเช่นกินเขียดแห้ง กินทาก กินตับของอีกาหรือดวงตาของอึ่งอ่าง เป็นต้น มาแล้ว เพื่อให้บิดามารดาในภาควิญญาณนั้นเกิดรังเกียจแล้วคลายความรักและผูกพันในเด็กนั้นไป
             การส่งนพเคราะห์ คือการทำพิธีบูชาดาวนพเคราะห์เพื่อให้พ้นจากอาเพศตามความเชื่อของคนล้านนา พิธีกรรมบูชาจะมีขึ้นหลังจากตรวจดูว่าอายุของเจ้าชะตาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของดาวดวงใดอย่างหนึ่ง หรืออีกอย่างหนึ่งอาจจัดให้มีขึ้นเพื่อบูชาดวงดาวโดยรวม ซึ่งในที่นี้จะกล่าวเฉพาะการบูชาดาวนพเคราะห์รวมทั้งเก้า ซึ่งพิธีนี้มีลักษณะคล้ายกับการส่งเคราะห์หรือส่งแถนทั่วไป ต่างกันที่ว่าเป็นพิธีที่มักทำในช่วงเทศกาลสำคัญๆ และมักทำกันเป็นกลุ่มหรือหมู่คณะใหญ่ๆ เครื่องประกอบพิธีในการส่งนพเคราะห์ก็เป็นสะตวงหรือกระทงที่ใส่เครื่องบัตรพลี จำนวนเก้าสะตวงด้วยกัน แต่ละสะตวงจะปักช่อเล็กๆ ซึ่งมีสีตามดาวนพเคราะห์นั้นๆ ส่วนผู้ที่เข้าร่วมพิธีจะเขียนชื่อ วัน เดือน และปีที่เกิดของตนใส่ในกระดาษเล็ก แล้วนำไปปักในสะตวงตามราศีเกิดหรือตามดาวนพเคราะห์ของตน เพื่อประกอบพิธีส่งนพเคราะห์หรือส่งเคราะห์ประจำปีเกิด ให้เกิดความอยู่ดีมีสุขความรุ่งเรืองในชีวิตต่อไป การส่งนพเคราะห์นั้นบางแห่งใช้สะตวงเก้าห้องเพื่อบูชาดาวนพเคราะห์ทั้งเก้า พิธีส่งนพเคราะห์นิยมประกอบพิธีในวันปากปีซึ่งได้แก่ วันรุ่งขึ้นหลังวันพญาวัน (เถลิงศก) หนึ่งวันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ หรือในยามที่บ้านเมืองไม่สงบสุขก็มักประกอบพิธีนี้เช่นกัน ยกตัวอย่างการส่งนพเคราะห์เช่น พฤหัสบดี ในช่องของดาวพฤหัสบดี จะบรรจุธูป เทียน แกงส้มแกงหวาน อาหาร ขนม หมาก เมี่ยง บุหรี่ ผลไม้ ปักจ้อสีขาวลายสลับแดง หรือสีแสดล้วน ใส่รูปปั้นรูปสัตว์ตามวันหรือตัวเปิ้ง และรูปปั้นเทวดา เป็นต้น
              ส่งโลกาวุฑฒิ หรือโลกวุฒิเป็นพิธีส่งหรือการสังเวยเพื่อให้พ้นจากการกระทำที่เป็นโลกหาณี หรือการกระทำที่เกิดความเสื่อมแก่โลก ซึ่งจากข้อที่กำหนดไว้ในคัมภีร์โลกสมมติราช พบว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับตำแหน่งที่ปลูกเรือนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหากผู้ปลูกเรือนกระทำเข้าลักษณะดังกล่าว ย่อมจะเป็นที่ติฉินของผู้อื่น ดังนั้น คนโบราณจึงเชื่อว่าการส่งโลกาวุฑฒิจึงเป็นวิธีการที่จะแก้ไขความผิดดังกล่าวนั้นได้
              ส่งหาบ หรือส่งหาบส่งคอน พิธีส่งหาบนี้ทำขึ้นเมื่อเด็กที่มีอายุหนึ่งปีถึงสิบปี เป็นพยาธิ คือเจ็บไข้ได้ป่วยเนืองๆ เช่นอาจเป็นเด็กพุงโรก้นปอด เป็นตาลขโมย เป็นโรคผิวหนังมีผื่นคันไม่รู้จักหาย ร่างกายไม่แข็งแรงหรือขี้แยผู้เฒ่าผู้แก่หมอยา หรืออาจารย์ผู้ประกอบพิธีอาจแนะให้ ส่งหาบส่งคอน ส่งวานเกิดส่งแถนหรือส่งเทวดาแล้วแต่อาการเจ็บไข้นั้นๆ ตามที่เห็นว่าเหมาะสม และในการส่งหาบนั้นจะใช้ ก๋วยตีนจ้าง(อ่านก๋วยตี๋นจ๊าง) ตะกร้าสานให้ตาห่างๆ มีลักษณะคล้ายเท้าช้าง เมื่อจะใช้ต้องเอาใบตองกรุด้านในเสียก่อน)ขนาดกว้างประมาณเจ็ดนิ้ว สูงประมาณเก้านิ้ว จำนวนสามหาบคือสามคู่ เพื่อทำพิธีส่งในตอนเย็นวันและหาบรวมสามวันแต่ละหาบบรรจุเครื่องสี่ คือเครื่องสังเวยต่างๆ อันประกอบด้วยดอกไม้ธูปเทียนกล้วย อ้อยมะพร้าว ข้าวต้มขนมและอาหารตามกำหนดโดยเฉพาะจะต้องมีเงินสามบาท ห่อด้วยผ้าขาวมีดินจากจอมปลวกหรือขี้ผึ้งหรือแป้งปั้นเป็นรูปสัตว์เลี้ยงอย่างละหนึ่งตัวและให้มีรูปปั้นชายหญิงหนึ่งคู่อยู่ในหาบนั้น
               ส่งหาบส่งหาม เป็นพิธีกรรมของพรานป่าเพื่อเลี้ยงผีป่าที่ดูแลรักษาสัตว์ป่าซึ่งพรานเรียกผีป่านี้ว่าพระยาแก้วพรานป่าจ่าเนื้อ พิธีส่งหาบส่งหามนี้บางแห่งก็เรียกว่าส่งหาบส่งคอน พิธีส่งหาบส่งหาม หรือส่งหาบส่งคอนจะทำก่อนที่พรานจะชำแหละเนื้อสัตว์แบ่งปันส่วนกัน พิธีส่งหาบส่งหามหรือส่งหาบส่งคอนจะทำดังนี้ พรานจะตัดเอาเนื้อและเครื่องในสัตว์มาทำเป็นจิ้น(ชิ้นเนื้อสัตว์)หาบและจิ้นหาม หรือจิ้นคอน (จิ้นหมายถึงชิ้นเนื้อสัตว์)โดยนำเนื้อและเครื่องในสัตว์ทำเป็นพวงเล็ก ๆ ขนาดเท่ากับหัวแม่มือสองพวงเสียบติดกับปลายไม้ไผ่เล็กๆ ยาวประมาณหนึ่งคืบข้างละ หนึ่งพวงซึ่งเรียกว่า จิ้นหาบ จากนั้นก็นำเนื้อและเครื่องในทำเป็นพวงเล็กๆ ขนาดหัวแม่มืออก หนึ่งพวง เสียบติดกับไม้ไผ่โดยให้พวงเนื้อนั้นอยู่ตรงกลางไม้ไผ่ซึ่งเรียกว่าจิ้นหาบ แต่ถ้าให้พวงเนื้อนั้นค่อนไปทางปลายไม้ข้างใดข้างหนึ่ง ก็จะเรียกว่าจิ้น คอน หลังจากทำจิ้นหาบและจิ้นหามหรือจิ้นคอน เสร็จแล้วก็นำไปถวายแก่พระยาแก้วพรานป่าจ่าเนื้อ โดยใช้มีดถากต้นไม้แล้วเอาจิ้นหาบจิ้นหาม หรือจิ้นคอนเหน็บติดกับต้นไม้นั้นพร้อมกับกล่าวคำถวาย
               ส่งฮ่า แมลงเพลี้ยง แมลงบุ้ง นก หนู คนโบราณล้านนาในสมัยก่อน ถ้ามีสัตว์ต่างๆแมลงต่างๆ เป็นต้นว่านก หนู บุ้ง หรือเพลี้ยง ลงกินพืชพันธุ์ธัญญาหารในไร่ในนาข้าวกล้าหรือในไร่ในสวน ท่านว่าเป็นอุบาทว์ชนิดหนึ่งหรือบางแห่งก็ว่าฮ่า(หรือห่าลง) ก็มักจะกระทำพิธีส่งหรือบูชาเพื่อให้พ้นจากความเลวร้ายนั้น ๆ ถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ใดก็ให้ทำพิธีส่งในที่เกิดเหตุนั้น
               ส่งอุบาทว์แปดประการ หรือ อภิไทโภวิบาทว์ อุบาทว์คือสิ่งที่นำมาซึ่งความเป็นเสนียดจัญไรให้แก่ตัวเอง แก่ครอบครัวและแก่บ้านเมือง ซึ่งสิ่งที่เป็นอุบาทว์นี้หมายรวมทั้งความไม่ดีไม่งามต่างๆ ที่จะทำให้วิถีชีวิตของผู้ประสบพบเห็นยังลางร้ายต่างๆ เช่นเดียวกับขึด คือเป็นการแสดงให้เห็นเหตุกาลต่างๆ เรียกว่าลางสังหรณ์ ซึ่งอาจมาในรูปของสัตว์สองเท้า สี่ เท้า สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์น้ำ สัตว์ปีกซึ่งถือกันว่าเทวดามาแสดงนิมิตให้เห็นเรียกว่า อุบาทว์ ทั้งนี้สิ่งที่เห็นนั้นอาจจะเห็นเป็นของแปลกพิสดารหรือที่ไม่เคยพบเคยเห็นก็ได้รู้ได้เห็นได้ยินได้ฟังได้ฝัน ถือเป็นลางมาบอกเหตุล่วงหน้า เมื่อได้พบได้เห็นได้ยินได้ฟังแล้ว ชาวล้านนาโบราณให้รีบหาทางแก้ไขเสียภายในสามวัน ห้าวัน เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ในบ้านในเรือนเราให้รีบจัดพิธี บูชาส่ง ถอน สะเดาะเคราะห์ หรือ รดน้ำมนต์ เหตุการณ์ร้ายก็จะไม่เกิดขึ้น 
              ส่งเคราะห์เรือน พิธีส่งเคราะห์เรือนนี้ถือกันว่าเป็นพิธีกรรมที่จัดทำขึ้นเมื่อเห็นว่ามีผู้ป่วยหนักจนอาจถึงแก่ชีวิต เมื่อทำพิธีนี้แล้วจะทำให้ผู้ป่วยนั้นพ้นจากความป่วยไข้หรืออุปัทวันตรายทั้งปวง และช่วยให้เกิดสิริมงคลแก่สมาชิกในเรือนหรือในครอบครัว
              ส่งไข้ ส่งผีหรือส่งเทวดาพิธีส่งไข้นี้ บางแห่งบางท้องถิ่นก็จะเรียกว่า ส่งผีบ้าง ส่งเทวดาบ้าง แล้วแต่ผู้ประกอบพิธีแต่ละแห่งจะเรียกชื่อเอาเอง อย่างไรก็ตามพิธีนี้ก็มีที่มาอยู่ว่าบุคคลใดก็ดีมีธุระไปที่ไหนๆ มาแล้วไปได้รับความเจ็บไข้ได้ป่วยมาในวันนั้นหรือว่าเจ็บปวดป่วยไข้อย่างกะทันหันมักจะเรียกกันว่าไปถูกผีทักบ้าง ถูกเทวดาทักบ้าง ตามทิศต่างๆ ที่ไปมา
ส่งกิ่ว “กิ่ว” มีความหมายว่าชะตาชีวิต โชควาสนาหรือ“ดวง” ในกรณีที่บ้านเมืองเกิดมีอุบัติภัยหรือโรคภัยเช่นโรคระบาดต่างๆ หรือในกรณีที่บุคคลค้าขายขาดทุนหรือมีวิถีชีวิตลุ่มๆดอนๆโดยหาสาเหตุไม่พบการส่งกิ่วนี้จะช่วยให้ภาวะที่เลวร้ายดังกล่าวนั้นหมดไปได้ 
ส่งขึด คือพิธีกรรมอย่างหนึ่งในการแก้ไขสภาพความอัปมงคลซึ่งตกแก่ผู้กระทำผิดจารีตของสังคม หรือที่เรียกว่า ต้องขึด ซึ่งจำเป็นจะต้องแก้ไขโดยการ ส่งขึดหรือ ถอนขึด
             ส่งพญานาค พิธีส่งพญานาคหรือขอที่ดินจากพญานาคนี้เป็นขั้นตอนหนึ่งในการปลูกเรือนของชาวล้านนากล่าวคือ เมื่อเจ้าของเรือนใหม่ได้เตรียมไม้เครื่องเรือนต่างๆ พร้อมแล้วก็จะขุดหลุมเพื่อจะลงเสาเรือนซึ่งก่อนที่จะขุดหลุมนั้น เจ้าของเรือนจะต้องทำพิธี ส่งพญานาค หรือขอที่ดินจากพญานาคเสียก่อนทั้งนี้เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของบุคคลในเรือนนั้นๆ
             มีประเพณีความเชื่อของชาวล้านนาอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับการส่งเคราะห์-ส่งนาม ซึ่งผู้เขียนเองได้เห็นผู้เฒ่าผู้แก่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่เล็ก นอกจากแต่ละบ้านแต่ละครอบครัวจะทำพิธีกันเองตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในวันสำคัญวันหนึ่งที่ชาวล้านนามักนิยมส่งเคราะห์กันก็คือช่วงสงกรานต์ หรือปี๋ใหม่เมืองของชาวล้านนา ในป๋าเวณีปี๋ใหม่เมืองนั้นประกอบไปด้วยวันสังขารล่อง ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๓ เมษายน ของทุกปี วันที่ ๑๔ เป็นวันเนา หรือวันเน่า และวันที่ ๑๕ เป็นวันพญาวันหรือวันเถลิงศก ชาวล้านนาเรียกว่าวันพญาวัน ในความหมายของชาวล้านนานั้น คำว่า “พญา” นั้นหมายถึงเป็นใหญ่ ดังนั้นวันพญาวันจึงหมายถึงวันที่เป็นใหญ่กว่าวันทั้งหลาย ซึ่งก็หมายถึงวันเถลิงศกหรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวล้านนา น้อยคนนักที่จะรู้ว่าป๋าเวณีปีใหม่เมืองของชาวล้านนานั้นไม่ได้สิ้นสุดหรือมีเพียงเฉพาะสามวันนี้เท่านั้น ซึ่งในหนังสือ บทความ หรือบันทึกต่างๆ จะกล่าววันเพียงสามวันดังกล่าวข้างต้นเท่านั้น แต่หลังจากวันพญาวันไปชาวล้านนาจะเรียกว่าวันปากปี๋ วันปากเดือน วันปากวัน และวันปากยามตามลำดับจึงสิ้นสุดวันปี๋ใหม่เมือง ในวันปากปี๋นี้ชาวล้านนาจะมีการส่งเคราะห์ขึ้น ผู้เขียนได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่าประเพณีการส่งเคราะห์นั้น นอกจากจะทำกันตามบ้านเรือนทั่วไปแล้ว ในวันปากปี๋นี้เองที่ผู้เขียนได้มีโอกาสเห็นผู้เฒ่าผู้แก่ในสมัยก่อน ได้จัดเตรียมข้าวของเพื่อนำไปประกอบพิธีส่งเคราะห์ที่วัดประจำหมู่บ้าน โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้ประกอบพิธี
           ในการประกอบพิธีส่งเคราะห์นี้ ชาวบ้านจะนำเอาเสื้อผ้าของตนเองและคนในครอบครัวใส่กระบุงหรือตะกร้า ด้านบนจะมีสะตวงวางทับอยู่ และน้ำขมิ้นส้มป่อยไปรวมกันที่วัด เมื่อถึงเวลาพระสงฆ์ก็จะเริ่มสวดคาถาพื้นเมืองซึ่งเป็นการส่งเคราะห์ เมื่อเสร็จสิ้นพิธีแล้ว ชาวบ้านก็จะหาบเอากระบุงนั้นออกมานอกวัดและเอาสะตวงหรือกระทง ไปวางตามทางแยกหรือใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อบูชาเคราะห์กรรมหรือเจ้ากรรมต่างๆ จากนั้นแต่ละคนก็จะนำน้ำขมิ้นส้มป่อยประพรมเสื้อผ้า และเอาเสื้อผ้าออกมาสะบัด เพื่อเป็นการสะบัดหรือปัดเอาเสนียดจัญไรและเคราะห์ต่างๆ ที่ติดตัวหรือติดมากับเสื้อผ้าอาภรณ์ออกไปให้หมด และที่ชาวล้านนาเลือกเอาวันปากปี๋นี้เป็นวันส่งเคราะห์เนื่องจากมีความเชื่อกันว่า จะสามารถปัดเป่าเคราะห์ต่างๆ ให้ห่างหายไปได้ตลอดทั้งปี
             พิธีการส่งเคราะห์ของคนในชุมชนหรือหารส่งเคราะห์บ้านนี้ นอกจากจะกระทำในวันปี๋ใหม่เมืองนั้น บางแห่งชาวบ้านจัดขึ้นในโอกาสสำคัญ หรือกรณีมีอุบัติเหตุเภทภัยเกิดขึ้นในหมู่บ้าน เช่นกรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่จังหวัดเชียงราย ผู้คนในหลายหมู่บ้านก็ร่วมกันจัดพิธีส่งเคราะห์ขึ้นให้คนในหมู่บ้าน ผู้ประกอบพิธีจะเป็นพ่อหนานหรืออาจารย์ การส่งเคราะห์แบบนี้ต่างจากการส่งเคราะห์ทั่วไปที่มีเจ้าชะตาคนเดียว การส่งเคราะห์เพียงคนเดียวเจ้าชะตาจะนั่งหันหน้าเข้าหาสะตวง และหันหลังให้ผู้ประกอบพิธี ส่วนการส่งเคราะห์ประจำหมู่บ้านแบบนี้ลักษณะการนั่งจะเป็นแบบล้อมวงแทน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น